ริโอ เฟอร์ดินานด์ ได้ให้สัมภาษณ์กับ Inside United ว่าทำไมเขาถึงเชื่อว่าแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ดมีคุณภาพพอที่จะแย่งชิงถ้วยแชมป์หลายๆ รายการในปีนี้ รวมไปถึงชีวิตนอกสนามของเขาผ่าน twitter ในชื่อ rioferdy5เมื่อปีที่แล้วคุณได้ให้สัมภาษณ์กับ Inside United ว่าแมนฯ ยูไนเต็ด มีสิทธิคว้าแชมป์ แต่แล้วเมื่อจบฤดูกาลคุณก็ต้องผิดหวัง คุณคิดว่าได้รับบทเรียนอะไรบ้างเมื่อปีที่แล้ว"อืม เรามีแต้มตามแชมป์เมื่อปีที่แล้วแค่ 1 แต้ม ดังนั้นผมจึงคิดว่าเราไม่ได้มีข้อผิดพลาดอะไรมากมายนัก เราแค่พลาด 1 - 2 เกมแบบไม่น่าพลาด และเราก็แพ้เชลซีในบ้านอย่างที่เราไม่ควรแพ้เลย ถ้าเราชนะในเกมนั้น เราอาจจะได้แชมป์ก็ได้ แต่ไม่ว่ายังไงทุกฤดูกาล ไม่ว่าคุณจะแพ้หรือชนะ คุณก็จะได้เรียนรู้บางสิ่งบางอย่างจากฟอร์มการเล่นของคุณ ฤดูกาลที่แล้วผมไม่คิดว่าเราเล่นได้ดีเท่าไหร่ และเราเองก็ไม่มีความคงเส้นคงวาด้วย ในฤดูกาลนี้ เราก็ยังคงเล่นได้ไม่ดีนัก แต่เราก็มีความคงเส้นคงวามากขึ้น ทำให้ทีมมีความมั่นใจมากขึ้น เรารู้ว่าทีมของเรามีความยืดหยุ่นเพียงพอ และถ้าเราเร่งเครื่องได้ดีในเกม ทีมก็จะก้าวไปได้ง่ายๆ"
จนถึงตอนนี้แมนฯ ยูไนเต็ด แพ้ไปน้อยมาก เวลาที่แพ้คุณจะมีปฏิกิริยายังไง"ผมเกลียดมัน ตอนเด็กๆ ผมเคยร้องไห้เวลาแพ้นะ ผมจำได้ตอนที่เล่นกับทีมตำรวจนครบาล (Metropolitan Police) น่ะ เป็นทีมฝั่งละ 5 คน จบเกมพ่อผมต้องดึงผมออกมาเตือนเลยนะ เพราะว่าเมื่อจบเกมแล้วเราแพ้ ผมก็ตะโกนใส่คนนู๊นคนนี้ไปทั่ว ผมเคยถึงขั้นทำให้เพื่อนนักเตะคนหนึ่งร้องไห้ด้วย เพราะผมบอกเขาว่าเขายังไม่พยายามพอ นี่แหละผมล่ะ และผมก็เป็นแบบนี้เวลาเล่นเกมด้วยนะ ผมต้องการชนะอยู่เสมอ ผมจะไม่รู้สึกอยากเอาชนะก็ต่อเมื่อแขวนสตั๊ดล่ะมั๊ง"
คุณเคยทำวิดิชร้องไห้มั๊ย"(หัวเราะ) อือ รู้สึกว่าจะเคยนะ แม้ว่าเขาจะเป็นคนที่ไม่ชอบความพ่ายแพ้เหมือนกันก็เถอะ เขาเป็นคนหนึ่งที่ต้องการเอาชนะอยู่เสมอแม้ว่าจะเป็นแค่การฝึกซ้อม เรามักจะเถียงกันเสมอในห้องแต่งตัวที่คาร์ริ่งตัน หลังการฝึกซ้อม และจะวิเคราะห์กันถึงความผิดพลาดในเกม และเหตุผลว่าทำไมเราถึงแพ้น่ะ"
และเหมือนกับเป็นการพิสูจน์ว่าแมนฯ ยูไนเต็ดไม่ชอบความพ่ายแพ้นะ เพราะว่าในปีนี้เราสามารถกลับมาเอาชนะได้หลายครั้ง นั่นบ่งบอกอะไรเกี่ยวกับทีมนี้"ผมคิดว่ามันเป็นสิ่งที่พิสูจน์ให้ทุกคนเห็นว่าเรามีความตั้งใจ และมุ่งมั่นมากมายแค่ไหน ทุกทีมรู้ว่าเมื่อพวกเขามาเจอแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด เกมจะไม่จบจนกว่าผู้ตัดสินจะเป่านกหวีดหมดเวลา เราเล่นจนถึงวินาทีสุดท้าย ไม่ว่าเราจะโดนนำไปกี่ลูกหรือทดเวลาไปเท่าไหร่ นั่นคือปรัชญาของที่นี่มาตลอดนับตั้งแต่ผมจำความได้ เราอาจจะเก็บชัยชนะได้ในช่วงท้ายเกมมากกว่าทุกๆ ทีมในลีก นั่นก็เพราะว่าสิ่งที่ตราตรึงอยู่กับสโมสรนี้มาโดยตลอด"
คุณเคยรู้สึกกลัวทีมตรงข้ามบ้างมั๊ยเวลาที่แมนฯ ยูไนเต็ด ต้องตามหลังอยู่น่ะ"แน่นอน เคยสิ ถ้าเราตามหลังและสามารถทำประตูแรกได้ ทีมคู่แข่งจะรู้ทันทีว่าเราไม่ได้ต้องการแค่นี้ เราไม่เคยมีความสุขกับการเสมอแล้วก็มานั่งพอใจกับผลการแข่งขันแบบนี้ เรามุ่งมั่นไปที่ชัยชนะอยู่ตลอด และเป็นเพราะเราทำแบบนี้มาตั้งแต่ในอดีต ดังนั้น ความรู้สึกนี้จะเกิดขึ้นในความคิดของนักเตะที่นี่ทุกคน เรามักจะทุ่มเททุกอย่างเพื่อชัยชนะ และนั่นก็เป็นความตั้งใจที่มาจากผู้จัดการทีม ซึ่งนี่แหละเป็นอีกเหตุผลหนึ่งที่ผมรักที่จะเล่นให้กับแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด"
และก็น่าทึ่งมากนะที่ครั้งสุดท้ายที่คุณได้รับใบเหลืองน่ะ เป็นเกมกับลิเวอร์พูลเมื่อเดือนมีนาคมปี 2009 คุณจะอธิบายยังไงกับการที่คุณมีระเบียบวินัยที่ดีมากขนาดนี้น่ะ"ผมคิดว่ามันขึ้นอยู่กับจังหวะที่ผมเขาสกัดบอล ผมไม่เคยออกไปทำฟาล์วใคร ไม่มีใครอยากทำหรอก ผมแค่พยายามเอาบอลมาให้ได้อย่างใสสะอาดที่สุดเท่าที่จะทำได้ และนั่นอาจมีส่วนผสมของโชคด้วยนิดหน่อย ผู้ตัดสินบางคนก็ผ่อนผันให้บ้าง มันไม่ใช่ความลับอะไรหรอกนะ แค่เป้าหมายของเราคือการเอาบอลมาให้ได้อย่างใสสะอาด และถ้าคุณทำได้คุณก็จะไม่ถูกลงโทษ ผมไม่ค่อยมีสถิติที่ดีในเรื่องนี้บ่อยนักหรอก ตอนที่ผมยังเด็ก ผมเคยถูกไล่ออกเพราะทะเลาะกันในสนาม แต่ในห้องเรียนผมก็ไม่ได้แย่มากหรอกนะ แม้ว่าผมจะค่อนข้างทะเล้น และพูดมากซักหน่อยก็เถอะ"
หลายคนบอกว่าเกมที่เหลือกับอาร์เซน่อล และเชลซี จะเป็นหัวใจสำคัญของตำแหน่งแชมป์ แต่คุณก็ยังมีเหลืออีก 7 เกมในฤดูกาลนี้ที่มีส่วนตัดสินใจตำแหน่งแชมป์เช่นกัน"ถูกต้อง แน่นอนว่าเราต้องการเอาชนะอาร์เซน่อล และเชลซี แต่คุณก็ไม่ได้แต้มมากกว่าเกมปกติหรอก คุณต้องเอาชนะทุกเกม เรารู้ว่าเรามีหลายสิ่งหลายอย่างที่แมนฯ ยูไนเต็ด เรารู้ว่าไม่ใช่แค่การเอาชนะในเกมใหญ่ๆ เท่านั้น แต่เราต้องเล่นให้ดีทุกสัปดาห์ และกับทุกทีมที่เราเจอ"
ริโอ เฟอร์ดินานด์ ถือเป็นแฟนตัวยงคนหนึ่งของ social network และเขาก็มี twitter ของตัวเองในชื่อว่า rioferdy5 ซึ่งช่วยให้หลายๆ คนรู้จักเขามากขึ้น
นอกจากการลงสนามแล้ว twitter ของคุณเองก็ดูเหมือนจะโด่งดังมากทีเดียว อะไรทำให้คุณสนใจที่จะเข้าไปสู่โลกของ social network"เป้าหมายหลักเลยคือการได้แสดงตัวตนที่แท้จริงของผม มีหลายคนรู้จักผมอย่างแท้จริง และหลายคนที่รู้จักผมผ่านมุมมองที่สื่อได้แสดงให้เห็น มันเป็นภาพที่พวกเขาแต่งแต้มเกี่ยวกับผม ผมเคยเห็นภาพพจน์ตัวเองหลายๆ แบบในหนังสือทั้งแบบที่สวมต่างหูระยิบระยับ โซ่เพชรใหญ่ๆ หรือนาฬิกาทอง แต่นั่นไม่ใช่ตัวผมเลย ที่จริงแล้วมันเป็นตัวผมแค่จุดหนึ่งเมื่อนานแสนนานมาแล้วเท่านั้น ตอนที่ผมยังเด็ก และการได้เงินก็เป็นสิ่งใหม่สำหรับผม แต่มันก็ไม่แฟร์นะที่จะใช้รูปเหล่านั้นในปัจจุบัน ผมเปลี่ยนไปแล้ว ผมโตขึ้นมากแล้ว"
คุณคิดว่าผู้คนจะเข้าใจสิ่งเหล่านี้แล้วเหรอตอนนี้"อืม twitter นั้นดีนะ เพราะว่ามันทำให้ผมมีเวทีสำหรับแสดงให้ทุกคนเห็นว่าจริงๆ แล้วผมเป็นยังไง ผมได้ยินผู้คนพูดถึงผม และพวกเขาก็คาดหวังให้ผมเดินบนพรมแดงอยู่ตลอดเวลา แต่ที่จริงแล้วผมเคยเดินบนพรมแดงแค่ 2 ครั้งเองนะในชีวิตนี้ อย่างน้อยใน twitter ผู้คนก็สามารถเข้าใจได้ว่าคุณเป็นอย่างไร มากกว่าที่สื่อบรรยายเกี่ยวกับตัวคุณ ผมเคยได้รับข้อความจากแฟนๆ หลายคนที่ส่งมาขอบคุณที่ผมแสดงให้เห็นว่าจริงๆแล้วชีวิตนักฟุตบอลอาชีพเป็นอย่างไร"
แต่ก็ยังมีความคิดเกี่ยวกับนักฟุตบอลที่ผิดๆ อยู่ใช่มั๊ย"แน่นอน บางคนคิดว่าการเป็นนักฟุตบอลเกี่ยวกับการมีรถสวยๆ มีวันหยุดเยี่ยมๆ และมีเครื่องบินเจ็ทเป็นของตัวเอง ผมสาบานได้เลยนะว่ามีบางคนคิดว่าผมขับเครื่องบินเจ็ทไปซื้อนมที่ร้านแถวบ้านเนี่ย! อย่างเวลาผมขึ้นรถไฟผู้คนมักจะถามผมว่าคุณมาทำอะไรที่นี่ พวกเขาคิดว่าผมจะซื้อรถไฟส่วนตัวหรืออะไรทำนองนั้นมั๊ง มันแปลกมาก ผมขึ้นรถไฟก็เพราะว่ามันเป็นการเดินทางที่เร็ว และสะดวกที่สุดสำหรับผมไง นี่แหละ อย่างเรื่องเล็กน้อยเหล่านี้ผมก็เล่าขึ้น twitter ของผม ก็หวังว่าจะช่วยให้ผู้คนเข้าใจมากขึ้นว่าจริงๆ แล้วนักฟุตบอลก็คือมนุษย์นี่แหละ"
ถ้าอย่างนั้นคุณจะบอกว่า twitter ช่วยลดช่องว่างระหว่างนักฟุตบอลกับแฟนๆ ลงได้เล็กน้อยล่ะสิ"แน่นอน แฟนหลายคนบ่นว่าทุกวันนี้พวกเขาถูกตัดการติดต่อกับนักเตะหลายคน ซึ่งผมก็เข้าใจนะว่าทำไม แต่ก็ไม่ใช่กับนักเตะทุกคน ผมรักที่จะโต้ตอบกับแฟนๆ และเข้าไปพูดคุยกับพวกเขา ผมคิดว่ามันเป็นประสบการณ์ในทางบวกนะ ทุกสัปดาห์ หรือแทบจะทุกวัน ที่มีคนเข้ามาบอกผมว่าผมเป็นแรงบันดาลใจให้พวกเขา และ twitter ของผมก็ทำให้พวกเขาหัวเราะ บางคนก็เข้ามาชอบคุณผมที่เสนอให้พวกเขาติดต่อกับสโมสร บางคนก็รู้สึกว่าพวกเขาได้เข้าใกล้แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด มากขึ้นผ่านสิ่งนี้"
ตอนนี้คุณมีแฟนๆ คอยติดตามกว่าครึ่งล้านคนแล้ว ดูเหมือน สไปเดอร์แมน เคยบอกไว้ว่า พลังที่ยิ่งใหญ่มาพร้อมความรับผิดชอบที่ยิ่งใหญ่ นี่"ใช่ นั่นสามารถเอามาใช้กับ Twitter ได้เช่นกัน ผมตระหนักดีว่าผมต้องรับผิดชอบต่อผู้ชมที่ผมได้รับ และต้องทำให้แน่ใจว่าผมอยู่ในขอบเขตที่เหมาะสม ผมกำลังเล่นให้กับสโมสรที่ใหญ่ที่สุดในโลก ดังนั้น ผมก็ต้องระมัดระวังกับการเขียนใน twitter ของผม มีหลายครั้งที่ผมต้องปรึกษากับฝ่ายการสื่อสารของสโมสรก่อนที่จะเขียนอะไรลงไปใน twitter ของตัวเอง และมีหลายอย่างที่ผมรู้ว่ามันเกินขอบเขตไป แต่ผมก็เข้าใจ สโมสรและทีมต้องมาเป็นอันดับหนึ่งเสมอ"
เรื่องโดย โอปอล
เราจะรอวันที่คุณกลับมา